FREEZE

Beyond Health and Aging

7 นวัตกรรมย้อนวัย ดูแลลึกระดับเซลล์ ผสานระบบนำส่ง SNEDD เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

เพราะการย้อนวัย มีกลไกซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีเดียว

นวัตกรรม TOP EARN เทคโนโลยี คัดสรรจุดเด็ดทุกศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อลบล้างจุดด้อยในแต่ละเทคโนโลยี

ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีงานวิจัยรางวัลเหรียญทองระดับโลกมากกว่า 19 รางวัล world class innovation

Freeze 1 ชุด ประกอบด้วย

Freeze facial cleansing gel

Freeze serum

Freeze capsule 90 แคปซูล (2 กระปุกๆละ 45 แคปซูล)

TOP-EARN Innovation คืออะไร

1.Telomere = ยืดเทโลเมียร์ ปกป้องการทำลายดีเอ็นเอ
2.anti-Oxidant = ต้านอนุมูลอิสระ
3.aPoptosis = การเหนี่ยวนำการตายของเซลล การกำจัดเซลล์เก่าหรือเซลล์ที่เสียหาย
4.Enhancing immunity = เพิ่มภูมิคุ้มกัน
5.Autophagy = กระบวนการกินตัวเองของเซลล์
6.Regulating The Glycation = การควบคุมการเกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (ภาวะเสื่อมของร่างกายจากน้ำตาล)
7.NAD = เสริมพลังงานระดับเซลล์

ครีมนวด ดร.ออย สูตรร้อน นวัตกรรมนาโน ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์นาน
Telomere = ยืดเทโลเมียร์ ปกป้องการทำลายดีเอ็นเอ

เทโลเมียร์ (Telomere) คืออะไร?
เทโลเมียร์ คือส่วนปลายของโครโมโซม มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องโครโมโซมจากการเสื่อมสลายและการรวมกันของโครโมโซม เทโลเมียร์ประกอบด้วยลำดับดีเอ็นเอซ้ำ ๆ และโปรตีนพิเศษ เทโลเมียร์มีบทบาทสำคัญในการแบ่งเซลล์และกระบวนการแก่ชรา
โครงสร้างของเทโลเมียร์
เทโลเมียร์ประกอบด้วยลำดับดีเอ็นเอซ้ำ ๆ ที่มักเป็นลำดับ TTAGGG ในมนุษย์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ลำดับนี้จะซ้ำกันหลายพันครั้งที่ปลายของแต่ละโครโมโซม เทโลเมียร์มีโครงสร้างที่เรียกว่า “เทลอสเมียร์ลูป” (T-loop) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ปลายโครโมโซมถูกมองว่าเป็นดีเอ็นเอที่เสียหาย
หน้าที่และความสำคัญ
1.
ปกป้องโครโมโซม: ป้องกันการเสื่อมสลายและการรวมกันของโครโมโซม
2.
กระบวนการแบ่งเซลล์: ในการแบ่งเซลล์ เทโลเมียร์จะสั้นลงทุกครั้งที่มีการแบ่งเซลล์ โดยเฉพาะในเซลล์ปกติที่ไม่สามารถซ่อมแซมเทโลเมียร์ได้อย่างสมบูรณ์
3.
กระบวนการแก่ชรา: การสั้นลงของเทโลเมียร์สัมพันธ์กับกระบวนการแก่ชราและการตายของเซลล์ เมื่อเทโลเมียร์สั้นลงถึงจุดหนึ่ง เซลล์จะหยุดแบ่งตัวและเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า “เซเนเซนซ์” (senescence) หรือ “การแก่ชรา” (cellular aging)
4.
โรคที่เกี่ยวข้องกับการแก่ชรา: การสั้นลงของเทโลเมียร์เชื่อมโยงกับหลายโรคที่เกี่ยวข้องกับการแก่ชรา เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, และโรคอัลไซเมอร์
สรุป
เทโลเมียร์ (Telomere) คือส่วนปลายของโครโมโซม ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้:
1.
โครงสร้าง: ประกอบด้วยลำดับดีเอ็นเอซ้ำๆ และโปรตีนพิเศษ
2.
หน้าที่: ปกป้องปลายโครโมโซมไม่ให้เสียหายหรือรวมตัวกับโครโมโซมอื่น
3.
การแบ่งเซลล์: เทโลเมียร์จะสั้นลงทุกครั้งที่เซลล์แบ่งตัว
4.
อายุขัย: ความยาวของเทโลเมียร์เชื่อมโยงกับกระบวนการแก่ของเซลล์และอายุขัยของสิ่งมีชีวิต
5.
โรค: เทโลเมียร์ที่สั้นเกินไปอาจนำไปสู่ความผิดปกติทางพันธุกรรมและโรคบางชนิด
เทโลเมียร์มีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของโครโมโซมและกระบวนการแบ่งเซลล์ การศึกษาวิจัยเทโลเมียร์ช่วยให้เราเข้าใจการแก่ชราและโรคที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์มากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสในการพัฒนาแนวทางการรักษาใหม่ ๆ ในอนาคต นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้เทโลเมียร์เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในการประเมินอายุทางชีวภาพและสุขภาพโดยรวมของบุคคล

ครีมนวด ดร.ออยสูตรเย็นนวัตกรรมนาโน การันตีด้วยรางวัลงานวิจัยระดับเหรียญทอง
anti-Oxidant = ต้านอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidants) คืออะไร?
สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidants) เป็นสารที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีความไม่เสถียรและสามารถทำลายเซลล์ ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบและความเสียหายของเซลล์
อนุมูลอิสระคืออะไร?
อนุมูลอิสระ (Free Radicals) คือโมเลกุลหรืออะตอมที่มีอิเล็กตรอนที่ไม่มีคู่ อนุมูลอิสระสามารถเกิดขึ้นได้ในร่างกายจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร การสัมผัสสารเคมี หรือรังสีต่าง ๆ อนุมูลอิสระที่มีมากเกินไปสามารถทำลายเซลล์ โปรตีน และดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคและการแก่ชรา
ประเภทของสารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระมีหลายชนิด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่:
1.
วิตามิน:
o
วิตามินซี (Vitamin C): พบในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี่ และผักใบเขียว
o
วิตามินอี (Vitamin E): พบในถั่ว ธัญพืช และน้ำมันพืช
2.
แคโรทีนอยด์ (Carotenoids):
o
เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene): พบในผักและผลไม้ที่มีสีส้มและสีเหลือง เช่น แครอท มันเทศ และฟักทอง
o
ไลโคปีน (Lycopene): พบในมะเขือเทศและผลไม้สีแดง
3.
โพลีฟีนอล (Polyphenols):
o
ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids): พบในชาดำ ชาเขียว ผลไม้เช่นแอปเปิ้ล องุ่น และเบอร์รี่
4.
เกลือแร่:
o
ซีลีเนียม (Selenium): พบในถั่วบราซิล เนื้อสัตว์ และอาหารทะเล
o
สังกะสี (Zinc): พบในเนื้อสัตว์ ถั่ว และธัญพืช
หน้าที่และประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระ
1.
ป้องกันการทำลายของเซลล์: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
2.
ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ, มะเร็ง, และโรคอัลไซเมอร์
3.
ชะลอการแก่ชรา: การปกป้องเซลล์จากการทำลายช่วยชะลอการแก่ชราและลดริ้วรอย
4.
เสริมระบบภูมิคุ้มกัน: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการอักเสบได้ดีขึ้น
สรุป
สารต้านอนุมูลอิสระมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง และชะลอการแก่ชรา การบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคต่าง ๆ

ครีมนวด ดร.ออย สูตรร้อน นวัตกรรมนาโน ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์นาน
aPoptosis = การเหนี่ยวนำการตายของเซลล์ การกำจัดเซลล์เก่าหรือเซลล์ที่เสียหาย

การเหนี่ยวนำการตายของเซลล์ (Apoptosis) คืออะไร?
Apoptosis (อะพอพโทซิส) หรือการตายของเซลล์แบบโปรแกรม เป็นกระบวนการทางชีวภาพที่เซลล์จะทำลายตัวเองอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเซลล์ได้รับสัญญาณภายในหรือภายนอกที่บ่งบอกว่าควรจะตาย การตายของเซลล์ในลักษณะนี้เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต การปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ และการป้องกันการเกิดมะเร็ง
ขั้นตอนของ Apoptosis
1.
การเหนี่ยวนำ (Induction): เซลล์ได้รับสัญญาณจากภายนอกหรือภายในที่ส่งสัญญาณให้เริ่มกระบวนการ Apoptosis สัญญาณเหล่านี้อาจมาจากการเสียหายของดีเอ็นเอ การติดเชื้อไวรัส หรือการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
2.
การสลายตัว (Execution): กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์โปรตีนที่เรียกว่า “แคสเปส” (Caspases) ซึ่งทำหน้าที่สลายโปรตีนและโครงสร้างของเซลล์
3.
การสลายตัวของโครโมโซม (Chromatin Condensation): โครโมโซมภายในนิวเคลียสของเซลล์จะถูกบีบอัดและแยกเป็นส่วน ๆ
4.
การแตกออกเป็นชิ้น (Formation of Apoptotic Bodies): เซลล์จะแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “Apoptotic Bodies” ซึ่งจะถูกกลืนกินและย่อยสลายโดยเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Macrophages)
บทบาทและความสำคัญของ Apoptosis
1.
การพัฒนาและการเติบโตของสิ่งมีชีวิต: Apoptosis มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปร่างของเนื้อเยื่อและอวัยวะ เช่น ในการพัฒนาตัวอ่อน การตัดแต่งเซลล์ส่วนเกินในระหว่างการพัฒนาของนิ้วมือและนิ้วเท้า
2.
การรักษาความสมดุลของเซลล์: Apoptosis ช่วยรักษาสมดุลระหว่างการสร้างเซลล์ใหม่และการกำจัดเซลล์เก่าหรือเซลล์ที่เสียหาย
3.
การป้องกันการเกิดมะเร็ง: เซลล์ที่มีความผิดปกติหรือมีการกลายพันธุ์ในระดับดีเอ็นเอสามารถถูกกำจัดออกไปโดย Apoptosis ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
4.
การป้องกันการติดเชื้อ: เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระบวนการ Apoptosis เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
สรุป
Apoptosis เป็นกระบวนการที่สำคัญในการควบคุมจำนวนและคุณภาพของเซลล์ในร่างกาย ช่วยรักษาความสมดุลในการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ การศึกษากระบวนการ Apoptosis มีความสำคัญในการพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ในการรักษาโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคทางระบบประสาท

ครีมนวด ดร.ออยสูตรเย็นนวัตกรรมนาโน การันตีด้วยรางวัลงานวิจัยระดับเหรียญทอง
Enhancing immunity = เพิ่มภูมิคุ้มกัน

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Enhancing Immunity) คืออะไร?
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Enhancing Immunity) หมายถึงกระบวนการหรือวิธีการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ ระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบที่ซับซ้อนและประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว แอนติบอดี และสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค
วิธีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้:
1.
การรับประทานอาหารที่มีคุณค่า: อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี และสังกะส อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว
2.
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน
3.
การพักผ่อนและการนอนหลับที่เพียงพอ: การนอนหลับอย่างเพียงพอ (ประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน) มีความสำคัญต่อการฟื้นฟูและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
4.
การลดความเครียด: การจัดการกับความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ และการผ่อนคลาย จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดที่สามารถกดภูมิคุ้มกันได้
5.
การรักษาความสะอาด: การล้างมืออย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ การรักษาความสะอาดของร่างกายและสภาพแวดล้อม จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
6.
การรับวัคซีน: การฉีดวัคซีนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ
บทบาทของสารอาหารในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
1.
วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและเพิ่มการผลิตแอนติบอดี พบในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และผักใบเขียว
2.
วิตามินดี (Vitamin D): ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบในปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน และนมที่เสริมวิตามินดี
3.
สังกะสี (Zinc): ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว พบในเนื้อสัตว์ ธัญพืช และถั่ว
4.
โปรไบโอติกส์ (Probiotics): ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบในโยเกิร์ตและอาหารหมักดอง
สรุป
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเป็นกระบวนการที่สำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและรักษาสุขภาพโดยรวม การรับประทานอาหารที่มีคุณค่า การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ การลดความเครียด การรักษาความสะอาด และการรับวัคซีนเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การศึกษาและการนำวิธีการเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและมีความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ มากขึ้น การวิจัยในปัจจุบันยังคงศึกษาวิธีการต่าง ๆ ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วัคซีนใหม่ ๆ และการรักษาที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ การเข้าใจและปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

ครีมนวด ดร.ออย สูตรร้อน นวัตกรรมนาโน ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์นาน
Autophagy = กระบวนการกินตัวเองของเซลล์

ออโตฟาจี (Autophagy) คืออะไร?
ออโตฟาจี (Autophagy) เป็นกระบวนการที่เซลล์ทำการย่อยสลายและรีไซเคิลส่วนประกอบภายในของตัวเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาความสมดุลของเซลล์และช่วยในการตอบสนองต่อความเครียดหรือการขาดแคลนสารอาหาร
ขั้นตอนของ Autophagy
1.
การเริ่มต้น (Initiation): กระบวนการ Autophagy เริ่มต้นเมื่อเซลล์ได้รับสัญญาณว่าจำเป็นต้องกำจัดส่วนประกอบที่เสียหายหรือมีความเครียด เซลล์จะสร้างโครงสร้างที่เรียกว่า “Phagophore” ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มสองชั้นที่เริ่มห่อหุ้มส่วนประกอบที่ต้องการย่อยสลาย
2.
การขยายตัว (Nucleation and Expansion): Phagophore จะขยายตัวและห่อหุ้มส่วนประกอบที่ต้องการย่อยสลายจนกลายเป็น “Autophagosome” ซึ่งเป็นถุงเยื่อหุ้มสองชั้นที่ปิดสนิท
3.
การหลอมรวมกับไลโซโซม (Fusion with Lysosome): Autophagosome จะเคลื่อนที่ไปพบกับไลโซโซม (Lysosome) ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่มีเอนไซม์ย่อยสลาย Autophagosome จะหลอมรวมกับไลโซโซมกลายเป็น “Autolysosome”
4.
การย่อยสลาย (Degradation): ภายใน Autolysosome เอนไซม์ในไลโซโซมจะทำการย่อยสลายส่วนประกอบที่ถูกห่อหุ้ม ซึ่งสารที่ได้จากการย่อยสลายจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยเซลล์
บทบาทและความสำคัญของ Autophagy
1.
การกำจัดส่วนประกอบที่เสียหาย: Autophagy ช่วยกำจัดโปรตีนที่เสียหาย ออร์แกเนลล์ที่เสียหาย และสารที่ไม่จำเป็นภายในเซลล์
2.
การตอบสนองต่อความเครียด: ในสภาวะที่เซลล์ต้องเผชิญกับความเครียด เช่น การขาดแคลนสารอาหาร Autophagy จะช่วยให้เซลล์สามารถสร้างพลังงานและสารอาหารจากการรีไซเคิลส่วนประกอบภายในเซลล์
3.
การพัฒนาและการเจริญเติบโต: Autophagy มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาและการเจริญเติบโตของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ
4.
การป้องกันโรค: การทำงานของ Autophagy ที่สมบูรณ์มีบทบาทในการป้องกันโรคมะเร็ง โรคทางระบบประสาท และโรคติดเชื้อ
สรุป
Autophagy เป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาสมดุลและสุขภาพของเซลล์ มีบทบาทในการกำจัดส่วนประกอบที่เสียหาย การตอบสนองต่อความเครียด และการป้องกันโรค การศึกษาเกี่ยวกับ Autophagy มีความสำคัญในการพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ในการรักษาโรคมะเร็ง โรคทางระบบประสาท และโรคติดเชื้อ รวมถึงการค้นหายาและวิธีการที่สามารถกระตุ้น Autophagy เพื่อส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค

ครีมนวด ดร.ออยสูตรเย็นนวัตกรรมนาโน การันตีด้วยรางวัลงานวิจัยระดับเหรียญทอง
Regulating The Glycation = การควบคุมการเกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (ภาวะเสื่อมของร่างกายจากน้ำตาล)

การควบคุมการเกิดไกลเคชัน (Regulating Glycation) คืออะไร?
การควบคุมการเกิดไกลเคชัน (Regulating Glycation) หมายถึงกระบวนการในการจัดการและลดการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เรียกว่าไกลเคชัน (Glycation) ภายในร่างกาย ไกลเคชันเป็นกระบวนการที่น้ำตาลเชื่อมต่อกับโปรตีนหรือไขมันโดยไม่ผ่านการควบคุมของเอนไซม์ ทำให้เกิดสารประกอบที่เรียกว่า Advanced Glycation End Products (AGEs) ซึ่งสามารถทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้
การเกิดไกลเคชัน
1.
กระบวนการเกิด: ไกลเคชันเกิดขึ้นเมื่อโมเลกุลของน้ำตาล (เช่น กลูโคส) ทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือไขมันในเลือด สร้างสารประกอบที่ไม่เสถียร เรียกว่า Schiff Base และเมื่อเวลาผ่านไป สารประกอบนี้จะเปลี่ยนเป็น Amadori Product สุดท้ายก็กลายเป็น AGEs
2.
ผลกระทบต่อร่างกาย: AGEs ที่เกิดขึ้นสามารถทำให้โปรตีนและไขมันในเนื้อเยื่อแข็งตัว เสียความยืดหยุ่น และทำลายโครงสร้างของเนื้อเยื่อได้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบและโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท
การควบคุมการเกิดไกลเคชัน
1.
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นวิธีการหลักในการลดการเกิดไกลเคชัน การรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index) เช่น ผักใบเขียว ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนที่ไม่ผ่านการแปรรูป สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
2.
การหลีกเลี่ยงอาหารที่มี AGEs สูง: อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนสูง เช่น อาหารย่าง อาหารทอด และอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป มี AGEs สูง การหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการบริโภคอาหารประเภทนี้จะช่วยลดการได้รับ AGEs จากอาหาร
3.
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดการเกิดไกลเคชัน
4.
การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการเกิดไกลเคชัน โดยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่สร้าง AGEs สารต้านอนุมูลอิสระสามารถพบได้ในผัก ผลไม้ ถั่ว และชาต่าง ๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน
5.
การรับประทานอาหารเสริม: อาหารเสริมบางชนิดมีศักยภาพในการยับยั้งการเกิดไกลเคชัน
ผลกระทบของ AGEs ต่อสุขภาพ
1.
โรคเบาหวาน: การสะสมของ AGEs ในผู้ป่วยเบาหวานสามารถทำให้เกิดการอักเสบและการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานที่ส่งผลต่อดวงตา ไต และระบบประสาท
2.
โรคหัวใจและหลอดเลือด: AGEs สามารถทำลายโปรตีนในหลอดเลือด ทำให้เกิดการแข็งตัวและการตีบตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด
3.
โรคเกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท: AGEs ที่สะสมในสมองสามารถทำลายเซลล์ประสาทและมีส่วนในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
สรุป การควบคุมการเกิดไกลเคชันเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาสุขภาพและป้องกันโรคต่าง ๆ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกาย การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการใช้สารต้านอนุมูลอิสระเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดการเกิดไกลเคชันและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

ครีมนวด ดร.ออย สูตรร้อน นวัตกรรมนาโน ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์นาน
NAD = เสริมพลังงานระดับเซลล์

NAD คืออะไร?
NAD (Nicotinamide Adenine Dinucleotide) เป็นสารประกอบที่มีความสำคัญมากในกระบวนการทางชีวเคมีของเซลล์ NAD เป็นโคเอนไซม์ (Coenzyme) ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) และการผลิตพลังงานภายในเซลล์
รูปแบบของ NAD NAD มีอยู่ในสองรูปแบบหลัก:
1.
NAD⁺ (Nicotinamide Adenine Dinucleotide): เป็นรูปแบบออกซิไดซ์ (Oxidized form) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอน (Electron Acceptor) ในกระบวนการเมตาบอลิซึม
2.
NADH (Nicotinamide Adenine Dinucleotide, Reduced form): เป็นรูปแบบรีดิวซ์ (Reduced form) ที่เกิดขึ้นเมื่อ NAD⁺ ได้รับอิเล็กตรอนและโปรตอน (H⁺) หนึ่งตัว ทำให้สามารถนำพลังงานไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ภายในเซลล์
บทบาทของ NAD ในกระบวนการเมตาบอลิซึม NAD มีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางชีวเคมีหลายอย่าง:
1.
การผลิตพลังงาน: NAD⁺ ทำหน้าที่รับอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอาหาร เช่น กลูโคส ในกระบวนการไกลโคไลซิส (Glycolysis) และวงจรเคร็บส์ (Krebs Cycle) อิเล็กตรอนที่รับมาแล้วจะถูกส่งต่อไปยังห่วงโซ่การขนส่งอิเล็กตรอน (Electron Transport Chain) ในไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นกระบวนการที่สร้างพลังงานในรูปของ ATP (Adenosine Triphosphate)
2.
การสังเคราะห์และการซ่อมแซม DNA: NAD⁺ มีบทบาทในการสังเคราะห์และซ่อมแซม DNA โดยการเป็นโคเอนไซม์ให้กับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านี้ เช่น PARP (Poly(ADP-ribose) Polymerase)
3.
การสังเคราะห์สารสื่อประสาท (Neurotransmitter): NAD⁺ มีบทบาทในกระบวนการสังเคราะห์สารสื่อประสาท เช่น ซีโรโทนิน (Serotonin) และโดพามีน (Dopamine)
4.
การควบคุมกระบวนการชรา: NAD⁺ มีบทบาทในการควบคุมกระบวนการชราและสุขภาพของเซลล์ผ่านการทำงานร่วมกับโปรตีน Sirtuins ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเผาผลาญและการต้านทานความเครียดออกซิเดชัน
การลดลงของ NAD และผลกระทบต่อสุขภาพ: ระดับของ NAD⁺ ในร่างกายมักลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้กระบวนการทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องทำงานได้ไม่เต็มที่ เกิดความเสียหายต่อเซลล์ และส่งผลต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น: 1) โรคเมตาบอลิซึม: เช่น โรคเบาหวานและโรคอ้วน 2) โรคทางระบบประสาท: เช่น โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน 3) โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว วิธีการเพิ่มระดับ NAD⁺ ในร่างกาย มีหลายวิธีที่สามารถช่วยเพิ่มระดับ NAD⁺ ในร่างกายได้ เช่น:
1.
การรับประทานอาหารเสริม: อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารตั้งต้นของ NAD⁺ เช่น นิโคตินาไมด์ ไรโบไซด์ (Nicotinamide Riboside, NR) และนิโคตินาไมด์ โมโนนิวคลีโอไทด์ (Nicotinamide Mononucleotide, NMN)
2.
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการผลิต NAD⁺ ในร่างกาย
3.
การจำกัดการรับประทานอาหาร (Caloric Restriction): การลดปริมาณการรับประทานอาหารสามารถช่วยเพิ่มระดับ NAD⁺ และกระตุ้นการทำงานของ Sirtuins สรุป NAD เป็นโคเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงาน การซ่อมแซม DNA และการควบคุมกระบวนการชรา การรักษาระดับ NAD⁺ ในร่างกายให้เพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม การรับประทานอาหารเสริมที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการจำกัดปริมาณการรับประทานอาหารเป็นวิธีการที่สามารถช่วยเพิ่มระดับ NAD⁺ ได้

จุดเด่น

1.คัดสรรจุดเด่นทุกศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อลบล้างจุดด้อยในแต่ละเทคโนโลยี
2.เพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งตัวสารออกฤทธิ์ไปยัง Cells เป้าหมายด้วย SNEDDs เพื่อการฟื้นฟูในทุกอณู Cells อย่างสมบูรณ์แบบ

ระบบนำส่ง (Delivery System) คืออะไร?

ระบบนำส่ง (Delivery System) เป็นเทคโนโลยีหรือวิธีการที่ใช้ในการนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการภายในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ลดผลข้างเคียง และปรับปรุงการตอบสนองของร่างกายต่อสารออกฤทธิ์
ประเภทของระบบนำส่ง
1.
การนำส่งแบบดั้งเดิม (Conventional Delivery): เป็นรูปแบบที่เรียบง่าย เช่น เม็ด น้ำ หรือแคปซูล โดยให้สารออกฤทธิ์ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางระบบทางเดินอาหาร
2.
การนำส่งทางผิวหนัง (Transdermal Delivery): การใช้สารออกฤทธิ์ติดบนผิวหนัง เพื่อให้สารออกฤทธิ์ถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ และถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด
3.
การนำส่งทางชีวภาพ (Biological Delivery): การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เช่น วัคซีน โปรตีนบำบัด หรือสารออกฤทธิ์ที่ผลิตจากเซลล์สัตว์หรือพืช
4.
การนำส่งที่ควบคุมได้ (Controlled Delivery): การใช้วัสดุหรือเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมการปล่อยสารออกฤทธิ์อย่างช้าๆ และต่อเนื่อง เช่น การใช้ไมโครแคปซูล ไมโครสเฟียร์ หรือไลโปโซม
5.
การนำส่งเฉพาะที่ (Targeted Delivery): การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการภายในร่างกายอย่างแม่นยำ เช่น การใช้อนุภาคนาโน การใช้สารที่มีความจำเพาะต่อเซลล์เป้าหมาย หรือการใช้เทคโนโลยีที่สามารถปล่อยสารออกฤทธิ์เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นเฉพาะ
เทคโนโลยีและวิธีการที่ใช้ในระบบนำส่ง
1.
นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology): การใช้อนุภาคนาโนเพื่อช่วยในการนำส่งสารออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ อนุภาคนาโนสามารถถูกออกแบบให้มีขนาดและรูปร่างที่เหมาะสมเพื่อผ่านเข้าสู่เซลล์หรือเนื้อเยื่อเป้าหมายได้
2.
ไลโปโซม (Liposome): การใช้ไลโปโซม ซึ่งเป็นอนุภาคเล็กๆ ที่มีโครงสร้างคล้ายเซลล์ ช่วยในการนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการในร่างกาย
3.
ไมโครแคปซูล (Microcapsules): การใช้ไมโครแคปซูลที่ห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ภายใน เพื่อให้สารออกฤทธิ์ถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง
4.
วัสดุที่ย่อยสลายได้ (Biodegradable Materials): การใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เช่น พอลิเมอร์ ที่สามารถปล่อยสารออกฤทธิ์ออกมาอย่างช้าๆ และย่อยสลายเมื่อเวลาผ่านไป
5.
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology): การใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพในการผลิตสารออกฤทธิ์และวัสดุนำส่งสารออกฤทธิ์ เช่น การใช้โปรตีนบำบัด วัคซีน DNA และการใช้เซลล์สัตว์หรือพืช
ข้อดีของระบบนำส่ง
1.
เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา: สามารถนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.
ลดผลข้างเคียง: การนำส่งสารออกฤทธิ์เฉพาะที่สามารถลดปริมาณสารออกฤทธิ์ที่ต้องใช้ และลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
3.
ปรับปรุงการตอบสนองของร่างกาย: ช่วยให้สารออกฤทธิ์ถูกดูดซึมและกระจายตัวในร่างกายอย่างเหมาะสม ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
4.
เพิ่มความสะดวกสบาย: ลดความถี่ในการใช้สารออกฤทธิ์และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วย

นาโนเทคโนโลยี (nanotechnology) คืออะไร

นาโนเทคโนโลยี (nanotechnology) คือกระบวนการซึ่งประกอบด้วยการศึกษา ออกแบบ สังเคราะห์ และการประยุกต์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเคมี กายภาพ และชีวภาพ ของวัสดุในหน่วยนาโน (nanoscale) จึงส่งผลให้วัสดุขนาดนาโนมีลักษณะจำเพาะที่แตกต่างจากวัสดุขนาดใหญ่ นาโนเทคโนโลยีถูกนำเสนอครั้งแรกในปี 1959 โดยนักฟิสิกส์ชื่อริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) คำว่านาโนมาจากภาษาลาตินแปลว่าแคระ ในทางคณิตศาสตร์มีความหมาย 1 ในพันล้านส่วนของหน่วยเมตร โดยทั่วไปหน่วยของนาโนอยู่ระหว่าง 1-100 นาโนเมตร อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์บางคนให้คำนิยามหน่วยของนาโนที่มากขึ้น คือ อยู่ในช่วงระหว่าง 1-200 นาโนเมตร หรืออาจจะสูงถึง 1,000 นาโนเมตร
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 นาโนเทคโนโลยีกำลังเจริญเติบโตสูงขึ้นทั่วโลก นาโนเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อระบบเศรษกิจและสังคม เนื่องจากมีการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมด้านเคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ การสื่อสาร วิศวกรรม หุ่นยนต์ รวมถึงการแพทย์ การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในทางการแพทย์ คือการนำส่งยาหรือสารอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยโรค การสร้างภาพ และการรักษา มีการศึกษาวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีจำนวนมากในมหาวิทยาลัยและในโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศที่พัฒนา (ได้แก่ ยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น) และประเทศกำลังพัฒนา (ได้แก่ จีน และอินเดีย) มีการลงทุนกับการพัฒนานาโนเทคโนโลยีเป็นเงินจำนวนมาก เทคโนโลยีนี้จึงเกิดขึ้นได้จริงในท้องตลาด
เวชศาสตร์นาโน (nanomedicine) คือ การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในทางการแพทย์ เนื่องจากปัญหาของการค้นพบยาใหม่มีหลากหลาย เช่น ค่าการละลายน้ำต่ำ ส่งผลต่อระดับยาในเลือดไม่คงที่ และมีค่าชีวประสิทธิผลที่ต่ำ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาตัวพา (carriers) ของระบบนำส่งยา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้เกิดประโยชน์หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการละลายน้ำของยาที่ละลายน้ำได้น้อย เพิ่มความคงตัวทางกายภาพของยา เพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย การควบคุมการปลดปล่อยยา (controlled drug release) เกิดการปลดปล่อยยาแบบทยอย (sustained drug release) และการนำส่งยาแบบมุ่งเป้า (targeted drug delivery system) โดยการควบคุมการปลดปล่อยยามีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมอัตราและระยะเวลาในการปลดปล่อยยา เนื่องจากวัสดุที่ใช้มีคุณสมบัติสลายตัวทางชีวภาพ (biodegradability) ซึ่งมีความไวต่ออุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือตัวกระตุ้นอื่น ๆ ส่วนการนำส่งยาแบบมุ่งเป้ามีวัตถุประสงค์เพื่อนำส่งยาในขนาดที่เหมาะสมไปยังเป้าหมาย เนื่องจากยาโมเลกุลเล็กมีแนวโน้มที่จะไปยังตำแหน่งออกฤทธิ์ในปริมาณไม่เพียงพอ ระบบนำส่งยาช่วยทำให้เกิดการกระจายยาในร่างกายไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมมากขึ้น ตำแหน่งที่มีการนำส่งยาไปยังเป้าหมาย เช่น ก้อนมะเร็ง ตับ ม้าม ปอด น้ำเหลือง หรือไขสันหลัง เมื่ออนุภาคนาโนนำส่งยาไปยังอวัยวะเป้าหมายแล้ว อนุภาคนาโนจะแทรกเข้าไปยังเซลล์เป้าหมาย และอนุภาคนาโนจะปลดปล่อยตัวยาออกมากเมื่อถูกกระตุ้นจากภายนอก จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา ในขณะเดียวกันก็ลดผลข้างเคียงจากยาที่อาจจะเกิดกับเนื้อเยื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะยาต้านมะเร็งที่สามารถทำลายได้ทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ปรกติ

วัสดุนาโนแบ่งได้หลายประเภท ได้แก่

อนุภาคนาโนของยาที่เป็นของแข็ง (solid drug nanoparticles หรือ SDNs) คือยาที่มีขนาดอนุภาคเล็กมากที่กระจายตัวในน้ำ เนื่องจากยามีค่าการละลายน้ำที่ต่ำ อนุภาคนาโนของยาที่เป็นของแข็งจึงแขวนลอยในน้ำ ในการเตรียมต้องป้องกันไม่ให้เกิดการเกาะกลุ่มหรือตกตะกอนของอนุภาคยาขนาดเล็ก โดยสร้างให้อนุภาคนาโนผลักกัน เช่น การเติมพอลิเมอร์เพื่อไปจับอนุภาคยา แล้วเกิดอันตรกิริยาสเตอริก (steric interactions) ซึ่งเป็นผลของความเกะกะ หรือใช้สารลดแรงตึงผิวที่มีประจุที่ไปจับที่ผิวอนุภาค แล้วเกิดการผลักกันของประจุที่เหมือนกัน โดยอันตรกิริยาอิเล็กโตรสแตติก (electrostatic interactions) จึงเพิ่มความคงตัวของอนุภาค ตัวอย่างอนุภาคนาโนของยาที่เป็นของแข็ง ได้แก่ ผลึกนาโน (nanocrystals) และนาโนแขวนตะกอน (nanosuspensions)

การบำบัดด้วยโพลิเมอร์ (polymer therapeutics) คือ วัสดุนาโนที่เกิดจากการจับกันของตัวยาสำคัญและพอลิเมอร์ที่ละลายน้ำด้วยพันธะเคมี (พันธะโควาเลนท์) เรียกว่าโปรดรัก (prodrug) โดยทั่วไปมีขนาด 2-100 นาโนเมตร การเตรียมเป็นโปรดรักมีประโยชน์คือ เพิ่มขนาดโมเลกุลของยา ทำให้ยาอยู่ในกระแสเลือดได้นานขึ้น เนื่องจากไปลดอัตราการขับยาออกจากร่างกาย ปรับเปลี่ยนการกระจายยาในร่างกาย หรือทำให้มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น นำส่งยาไปยังเป้าหมาย หรือเพิ่มการละลาย เมื่อโปรดรักไปยังตำแหน่งที่ออกฤทธิ์จะเกิดการสลายตัวของพันธะเคมี โดยเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่ากรด-ด่าง หรือถูกย่อยด้วยเอนไซม์ แล้วทำให้เกิดการปลดปล่อยยาในตำแหน่งที่ออกฤทธิ์ ตัวอย่างการบำบัดด้วยโพลิเมอร์ ได้แก่ คอนจูเกตของพอลิเมอร์ – ยา (polymer-drug conjugates) และคอนจูเกตของพอลิเมอร์ – โปรตีน (polymer-protein conjugates)

ตัวพานาโน (nanocarriers) เป็นการใช้วัสดุนาโนเพื่อเป็นพาหนะสำหรับขนส่งตัวยาสำคัญ โดยตัวยาสำคัญถูกกักเก็บในแกนกลางหรือจับที่ผิวของตัวพา แต่แรงในการจับไม่จับด้วยพันธะที่แข็งแรงเหมือนพันธะโควาเลนท์ ตัวพานาโนมีหลายชนิด ได้แก่ ไลโปโซม (liposomes) พอลิเมอริกไมเซลล์ (polymeric micelles) นาโนเจล (nanogel) เดนไดรเมอร์ (dendrimers) อนุภาคนาโนพอลิเมอร์ (polymeric nanoparticles) อนุภาคนาโนไขมันแข็ง (solid lipid nanoparticles (SLNs)) นาโนอิมัลชัน (nanoemulsion) ไมโครอิมัลชัน (microemulsion)

ระบบนำส่ง SNEDD คืออะไร

SNEDD (self-nanoemulsifying drug delivery system: SNEDDs) ระบบนาโนอิมัลชันเกิดขึ้นเอง ท่ามกลางวัสดนาโนชนิดต่าง สเนดด์ หรือ ระบบนาโนอิมัลชันเกิดขึ้นเอง (SNEDDs: self-nanoemulsifying drug delivery system) มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากสเนดด์เป็นรูปแบบเข้มข้นของนาโนอิมัลชัน เกิดจากการกระจายสารลดแรงตึงผิว สารลดแรงตึงผิวร่วม และสารออกฤทธิ์ในน้ำมัน เมื่อเติมส่วนผสมดังกล่าวลงในน้ำ เช่น น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร จะเกิดเป็นนาโนอิมัลชันขึ้นเองแบบอัตโนมัติ จึงมีข้อได้เปรียบกว่าระบบนาโนอิมัลชัน คือ เพิ่มความคงตัวของตัวสารออกฤทธิ์และมีความคงตัวของตำรับมากกว่า รวมถึงมีปริมาณน้อยกว่า ทำให้การขนส่งง่ายกว่า นอกจากนี้ระบบอิมัลชันเกิดขึ้นเองยังมีขนาดเล็กและพื้นที่ผิวเยอะจึงช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร ไมโครอิมัลชันมีองค์ประกอบของน้ำมัน น้ำ สารลดแรงตึงผิว และอาจจะมีสารลดแรงตึงผิวร่วม (co-surfactant) ไมโครอิมัลชันเกิดขึ้นเองเมื่อผสมส่วนประกอบในตำรับในอัตราส่วนที่เหมาะสม สารลดแรงตึงผิวร่วมเติมในตำรับไมโครอิมัลชันเพื่อเพิ่มความคงตัวของไมโครอิมัลชัน เพื่อลดแรงตึงผิวให้ต่ำที่สุด โดยทั่วไปสารก่ออิมัลชันร่วมที่ใช้คือ แอลกอฮอล์ขนาดกลาง ไมโครอิมัลชันมีทั้งชนิดวัฏภาคน้ำกระจายตัวในวัฏภาคน้ำมัน (w/o) หรือวัฏภาคน้ำมันกระจายตัวในวัฏภาคน้ำ (o/w) การเลือกชนิดไหนขึ้นกับคุณสมบัติการชอบน้ำหรือน้ำมันของสารออกฤทธิ์ นอกจากนี้ยังขึ้นกับคุณสมบัติของสารลดแรงตึงผิว โดยสารลดแรงตึงผิวที่มีค่าเอชแอลบี 8-10 มีแนวโน้มจะได้อิมัลชันชนิดน้ำมันในน้ำ ส่วนสารลดแรงตึงผิวที่มีค่าเอชแอลบี 3-6 มีแนวโน้มจะได้อิมัลชันชนิดน้ำในน้ำมัน นอกจากนี้องค์ประกอบของอิมัลชันมีผลต่อความคงตัว โดยความคงตัวขึ้นกับแรงตึงผิว (interfacial tension) ระหว่างวัฏภาคภายในและวัฏภาคภายนอก ข้อได้เปรียบของไมโครอิมัลชัน คือสามารถเพิ่มการละลายและความคงตัวของยา เนื่องจากไมโครอิมัลชันสามารถเกิดขึ้นได้เองจึงผลิตได้ง่ายในระดับอุตสาหกรรม และต้นทุนต่ำ ส่วนข้อเสียเปรียบของไมโครอิมัลชัน คือเกิดการกลับวัฏภาคของอิมัลชัน สารลดแรงตึงผิวหรือสารลดแรงตึงผิวร่วมบางชนิดเป็นพิษไม่สามารถใช้ในอุตสาหกรรมสารออกฤทธิ์ได้

สาเหตุของความแก่

คำว่า “การแก่” หมายถึงกระบวนการเสื่อมสภาพทางร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการทางชีวภาพที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทั่วไปเป็นผลมาจากการสะสมความเสียหายของร่างกายตามกาลเวลา สาเหตุหลัก ๆ ของการแก่มีดังนี้:
1.
การสะสมของสารพิษ: การสะสมของสารพิษและของเสียในร่างกายที่ไม่สามารถกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถส่งผลต่อการเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ
2.
การสะสมของอนุมูลอิสระ (Free Radicals): การสะสมอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด, มลพิษ, และสารเคมีต่าง ๆ สามารถทำลาย DNA และเซลล์ได้
3.
การสะสมของความเสียหายของ DNA: ความเสียหายที่เกิดขึ้นใน DNA และการซ่อมแซมที่ไม่สมบูรณ์ส่งผลให้เกิดการสร้างโปรตีนผิดปกติ สามารถนำไปสู่การเสื่อมของเซลล์และการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ
4.
การสะสมของความเสียหายของโปรตีน: โปรตีนในร่างกายสามารถเสื่อมสภาพและทำงานผิดปกติเมื่ออายุมากขึ้นหรือถูกทำลายจากสารพิษ/อนุมูลอิสระสามารถส่งผลต่อการเสื่อมของร่างกายและการแก่ เช่น โปรตีนที่สร้างเส้นใย (collagen) และ elastin ในผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอย
5.
การสะสมของความเสียหายทางเซลล์และเนื้อเยื่อ: เซลล์ในร่างกายมีอายุขัยจำกัด เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์จะทำงานได้น้อยลงหรือตายไป ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆ
6.
การเสื่อมของเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells): เซลล์ต้นกำเนิดมีหน้าที่ในการสร้างเซลล์ใหม่และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เมื่อเซลล์ต้นกำเนิดเสื่อมสภาพ ความสามารถในการฟื้นฟูของร่างกายก็ลดลง
7.
การเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกัน: เมื่ออายุมากขึ้นระบบภูมิคุ้มกันมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อต้านโรคและการติดเชื้อลดลง
8.
ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: การหลั่งของฮอร์โมนบางชนิดเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เช่น ฮอร์โมนเพศ, ฮอร์โมนการเจริญเติบโต, และฮอร์โมนไทรอยด์ ส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย
9.
ปัจจัยทางพันธุกรรม: ยีนส์และพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเร็วของการแก่และอายุขัยของแต่ละบุคคล
10.
พฤติกรรมและวิถีชีวิต: การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล, การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป, การขาดการออกกำลังกาย, และความเครียดสูงสามารถเร่งกระบวนการแก่ได้
สรุปสาเหตุของกระบวนการแก่ทางชีวภาพมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการเสื่อมสภาพของร่างกาย ได้แก่ ปัจจัยสภาพแวดล้อม: การทำลายจากสารเคมี อนุมูลอิสระ
กระบวนการชีวภาพ: การเสื่อมสภาพของเซลล์และอวัยวะ
พันธุกรรม: พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเร็วของการแก่
สภาพสุขภาพ: การดูแลสุขภาพที่ไม่ดี
การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้สามารถช่วยให้เราปรับปรุงวิถีชีวิตและการดูแลสุขภาพเพื่อชะลอกระบวนการแก่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการการชะลอวัย

การชะลอวัย (anti-aging) เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกคน มีวิธีการหลายประการที่สามารถช่วยชะลอวัยได้ ดังนี้
1.
การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองโรคต่างๆ การตรวจสุขภาพประจำปีช่วยให้สามารถตรวจพบโรคหรือปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่เริ่มแรกและทำการรักษาได้ทันท่วงที
2.
การจัดการความเครียด ด้วยการทำสมาธิ ฝึกโยคะ หรือผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชื่นชอบ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีความกังวลหรือความเครียดมากเกินไป เพราะความเครียดเป็นสาเหตุของอนุมูลอิสระซึ่งทำลายเซลล์
3.
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายและเร่งกระบวนการแก่
4.
การเสริมฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนเมลาโทนินและฮอร์โมนเจริญเติบโต อาจช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ
5.
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สามารถช่วยลดการอักเสบและความเสื่อมของเซลล์

เลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักและผลไม้สีเข้ม วิตามินซี วิตามินอี ช่วยต้านการเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ

รับประทานโปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อปลา, ไก่, ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนม

เลือกไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก, อะโวคาโด และถั่ว

ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาล ไขมันทรานส์สูง และงดอาหารแปรรูป
6.
การจำกัดอาหาร (Calorie Restriction) โดยการควบคุมปริมาณพลังงานที่ได้รับให้น้อยลง ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์และชะลอการแก่ได้
7.
การดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยขจัดของเสียและดักจับอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
8.
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเอง ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สดชื่น ลดความเครียด และลดอาการอักเสบในร่างกาย ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
9.
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย รวมถึงลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ
10.
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อชะลอริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิว

ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 ทุกวัน เพื่อป้องกันการเสียหายจากรังสี UV

บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและมอยส์เจอไรเซอร์
11.
รับประทานวิตามินและอาหารเสริมที่จำเป็น
แม้ว่าการแก่เป็นกระบวนการธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การรักษาสุขภาพทุกด้านอย่างจริงจัง ช่วยชะลอและลดผลกระทบจากการแก่ได้

FREEZE​ มีสารสกัดสำคัญ​ จาก

  • ข้าว​ Rice​ extract
  • L-Phenylalanine
  • Marigold extract​ ดาวเรือง
  • TOMATO extract
  • Collagen Dipeptide
  • Seabuctorn
  • Maqui​ berry​ (มากิ เบอร์​รี่)
  • คาร์โมมาย
  • BRAHMI พรมมิ
  • สารสกัดดอกคำฝอย
  • Pine bark สารสกัดเปลือกสน
ครีมนวด ดร.ออย สูตรร้อน นวัตกรรมนาโน ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์นาน
ครีมนวด ดร.ออยสูตรเย็นนวัตกรรมนาโน การันตีด้วยรางวัลงานวิจัยระดับเหรียญทอง
ครีมนวด ดร.ออย สูตรร้อน นวัตกรรมนาโน ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์นาน